วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

สื่อการสอนประเภทวัสดุแลอุปกรณ์

                                                       

           


สื่อการสอนประเภทวัสดุ









                การใช้สื่อการสอนประเภทวัสดุได้รับความนิยมมากในการเรียนการสอน  เพราะมีขนาดเล็ก  จัดหาได้ง่าย  และใช้สะดวก  แต่มีศักยภาพสูงถ้านำไปใช้อย่างเหมาะสม

ความหมายของสื่อวัสดุ

                คำว่า วัสดุ  หมายถึงสิ่งของที่มีขนาดเล็กบางอย่างมีความทนทานสูง  แต่บางอย่างฉีกขาดแตกหักชำรุดเสียหายได้ง่าย  เรียกว่าวัสดุสิ้นเปลือง  เช่น  กระดาษ  กาว  สี  เชือก  กิ่งไม้  ใบไม้  วัสดุมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการจำแนก  เช่น วัสดุตามธรรมชาติ  วัสดุประดิษฐ์  วัสดุถาวร  วัสดุสิ้นเปลือง วัสดุแข็ง วัสดุเหลว วัสดุ2มิติ  วัสดุ3มิติ   เมื่อนำวัสดุเหล่านี้มาใช้ประกอบการเรียนการสอนจึงเรียกว่า สื่อวัสดุ ซึ่งเป็นสื่อขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการบรรจุเก็บเนื้อหาและถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  บางชนิดสื่อความหมายได้ด้วยตัวมันเอง เช่น  แผนภูมิ  แผนภาพ  แผนสถิติ โปสเตอร์ แต่บางชนิดมีขนาดเล็กมากต้องอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์ในการฉายเพื่อขยายเนื้อหาสาระให้มีขนาดใหญ่หรือเสียงดังขึ้นจึงจะสื่อความหมายอย่างชัดเจน  เช่น  ฟิล์มสไลด์   ฟิล์มภาพยนตร์  เทปเสียง  แผ่นโปร่งใส  เป็นต้น


ประเภทของสื่อวัสดุ

                สื่อประเภทวัสดุที่ใช้กับการเรียนการสอนในปัจจุบัน หากจำแนกตามคุณลักษณะที่ปรากฏให้เห็นมีดังนี้ 
                1.  สื่อวัสดุ 2 มิติ  โดยทั่วไปหมายถึงสื่อวัสดุกราฟิกซึ่งมีรูปร่างบางแบนไม่มีความหนา  มีองค์ประกอบสำคัญคือ รูปภาพ  ตัวหนังสือ  และสัญลักษณ์ สื่อเหล่านี้ได้แก่  กราฟ (Graphs) แผนภูมิ (charts) ภาพพลิก (flipcharts)  ภาพโฆษณา (posters)  ภาพชุด  (flash  cards)แผ่นโปร่งใส (transparencies)
       2.  สื่อวัสดุ 3 มิติ  เป็นสื่อที่สร้างมาจากวัสดุต่าง ๆ สามารถตั้งแสดงได้ด้วยตัวมันเอง  ที่นิยมใช้กับกระบวนการเรียนการสอนได้แก่  หุ่นจำลอง(models)   ของจริง(real objects)  ของตัวอย่าง(specimens)  ป้ายนิเทศ(bulletin  board)   กระดานแม่เหล็ก(magnify  boards)  ตู้อันตรทัศน์ (diorama)
       3.   สื่อวัสดุอิเล็คทรอนิคส์  เป็นสื่อที่ใช้กับเครื่องอิเล็คทรอนิคส์ต่าง ๆ มีทั้งประเภทเสียงอย่างเดียวและประเภทที่มีทั้งภาพและเสียงอยู่ด้วยกัน  เช่น  เทปเสียง (tape)  ม้วนวีดิทัศน์(video  tape)  แผ่นซีดี  (CD-Rom) วีซีดี (VCD)  ดีวีดี(DVD) เป็นต้น





สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์






  1. 1. สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
  2. 2. สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์ สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์หรือที่เรียกว่าโสตทัศนูปกรณ์ (audio –visual equipments ) มีหน้าที่หลัก คือการฉายเนื้อหาทั้งที่เป็นภาพและตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่ ขยายเสียงให้ดัง เพื่อให้ผู้เรียนรับรู้และเรียนรู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ปัจจุบันอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้พัฒนาไปมากมีรูปลักษณะเล็กน้้าหนักเบา แต่สามารถใช้งานได้หลายมิติ เช่น ต่อพ่วงกับอุปกรณ์อื่นได้หลายทาง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการและอ้านวยความสะดวกในการรับรู้ของมนุษย์ ดังนั้นการน้าอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยครูผู้สอนสามารถศึกษาหลักการและวิธีการใช้ได้ไม่ยากนัก
  3. 3. ประเภทของสื่ออุปกรณ์สื่ออุปกรณ์จ้าแนกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. เครื่องฉาย ( Projectors ) 2. เครื่องอุปกรณ์แปลงสัญญาณ ( Connected Equipment ) 3. เครื่องเสียง ( Amplifiers )
  4. 4. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)เครื่องฉาย ( Projectors ) เครื่องฉายเป็นอุปกรณ์ฉายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ท้าให้ผู้เรียนมองเห็นภาพหรือเนื้อหาได้ชัดเจนจากจอรับภาพ กระตุ้นความสนใจได้ดีเครื่องฉายที่ใช้ในวงการศึกษาปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น เครื่องฉายข้ามศีรษะ เครื่องฉายแอลซีดี เครื่องฉายสไลด์
  5. 5. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)ตัวอย่างเครื่องฉาย เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายแอลซีดี
  6. 6. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)เครื่องอุปกรณ์แปลงสัญญาณ ( Connected Equipment ) เครื่องแปลงสัญญาณเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหาจากวัสดุต่าง ๆ ได้แก่ 1. วัสดุที่บรรจุข้อมูลในรูปแบบของแม่เหล็ก เช่น แถบวีดิทัศน์ 2. วัสดุในรูปแบบของตัวอักษรหรือภาพ เช่น สิ่งพิมพ์หรือฟิลม ์ 3. วัสดุในรูปแบบของการเข้ารหัสดิจิทัล เช่น แผ่นวีซีดีและแผ่นดีวีดี
  7. 7. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ) ตัวอย่างเช่น เครื่องเล่นวีซีดีจะอ่านข้อมูลที่บันทึกภาพยนตร์จากแผ่นวีซีดีซึ่งเข้ารหัสเป็นระบบดิจิทัล แล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อถอดรหัสและแปลงกลับเป็นสัญญาณภาพและเสียงระบบแอนะล็อกเสนอบนจอโทรทัศน์ต่อไป
  8. 8. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)เครื่องถ่ายทอดสัญญาณ เครื่องถ่ายทอดสัญญาณ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รับสัญญาณภาพจากเครื่องแปลงสัญญาณเพื่อถ่ายทอดขยายเป็นภาพขนาดใหญ่ขึ้นบนจอภาพ ตัวอย่างเช่น โพรเจ๊กเตอร์จะรับสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเสนอภาพขนาดใหญ่บนจอภาพ
  9. 9. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)เครื่องแปลงและเครื่องถ่ายทอดสัญญาณที่น้ามาใช้ในการเรียนการสอนมีดงนี้ ั 1. เครื่องวิชวลไลเซอร์ (Visualizer)เป็นเครื่องแปลงสัญญาณที่เสนอได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว โดยต้องต่อเครื่องวิชวลไลเซอร์กับจอมอนิเตอร์เพื่อเสนอภาพ หรืออาจต่อร่วมกับเครื่องแอลซีดี เพื่อถ่ายทอดสัญญาณเป็นภาพขนาดใหญ่บนจอภาพ
  10. 10. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)2. เครื่องเล่นวีซีดี (Video Compact Disc) หรือเรียกอย่างเต็มว่า “วิดีโอซีด” เป็นเครื่องเล่นแผ่นซีดีระบบ ีดิจิทัลที่บันทึกข้อมูลในลักษณะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์และเสียงเพื่อเสนอภาพบนจอโทรทัศน์
  11. 11. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)3. แผ่นวีซีดี แผ่นวีซีดีจะมีลักษณะทางกายภาพทุกอย่างเหมือนแผ่นซีดีเพียงแต่แผ่นวีซีดีจะเป็นการเสนอภาพยนตร์พร้อมเสียงสเตอริโอแผ่นวีซีดีสามารถบันทึกภาพยนตร์จากการถ่ายท้าหรือจากแถบวีดิทัศน์แล้วบันทึกลงแผ่น
  12. 12. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)4. เครื่องเล่นดีวีดี (DVD Player) เครื่องเล่นดีวีดี เป็นเครื่องเล่นแผ่นดีวีดีระบบดิจิทัลเพื่อเสนอภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ และเสียงเพื่อเสนอภาพบนจอโทรทัศน์ในลักษณะเดียวกับแผ่นวีซีดี แต่จะให้คุณภาพของภาพและเสียงดีกว่ามากและแตกต่างกันตรงที่สามารถบรรจุข้อมูลได้ตั้งแต่ 4.7 – 17 จิกะไบต์
  13. 13. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)5. เครื่องวิดีโอโพรเจ็กเตอร์ (Video Projector) เป็นอุปกรณ์ที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดสัญญาณจากอุปกรณ์หลายประเภท เช่น เครื่องวิชวลไลเซอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องเล่นดีวีดีให้ปรากฏเป็นภาพขนาดใหญ่บนจอภาพ
  14. 14. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ) เครื่องวิดีโอโพรเจ็กเตอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นเครื่องแอลซีดีและเครื่องดีแอลพี
  15. 15. ประเภทของสื่ออุปกรณ์ (ต่อ)เครื่องเสียง ( Amplifiers ) เสียงมีจุดก้าเนิดจากสิ่งต่างๆ ที่เราสามารถรับฟัง ได้ในระยะทางที่จ้ากัด จึงมีความจะเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีระบบขยายเสียง โดยหลักการเปลี่ยนพลังงาน เสียงทีมีความถี่ 20 - 20000 Hertz (Hz) ให้อยู่ในรูปของ ่สัญญาณไฟฟ้า แล้วน้าเอาพลังงานไฟฟ้า ที่ได้ไปท้าการขยาย ให้มีพลังมากขึ้นตามความต้องการ แล้วจึงน้าพลังงานไฟฟ้า ที่ได้ผ่านการขยายแล้วมาแปลงเสียงพลังงานเสียง เช่นเดิม จนท้าให้ผู้ที่อยู่ในระยะทางที่ไกลขึ้นได้รับฟังเสียงดังกล่าว
  16. 16. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)องค์ประกอบของระบบขยายเสียง ระบบขยายเสียง ประกอบด้วยส่วนส้าคัญ 3 ส่วน คือ * ภาคสัญญาณเข้า (Input Signal) * ภาคขยายสัญญาณ (Amplifier) * ภาคสัญญาณออก (Output Signal)
  17. 17. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)ภาคสัญญาณเข้า (Input Signal) เป็นภาคที่ท้าหน้าที่ เปลี่ยนคลื่นเสียงให้เป็นคลื่นไฟฟ้าความถี่เสียง เช่น ไมโครโฟน หรืออีกนัยหนึ่งภาคสัญญาณเข้าเป็นอุปกรณ์ประเภทเครื่องเสียง เช่น เครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องเล่นคอมแพกดิสก์ เครื่องเล่นเทปคาสเซส เป็นต้น
  18. 18. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)ภาคขยายสัญญาณ (Amplifier) ภาคขยายสัญญาณ (Amplifier) เป็นภาคที่รับสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง จากภาคสัญญาณเข้า แล้วน้าไปขยายสัญญาณให้มีความแรงขึ้นเพื่อเตรียมส่งต่อไปยัง ภาคสัญญาณออก
  19. 19. สื่ออุปกรณ์ (ต่อ)ภาคสัญญาณออก (Output Signal) เป็นภาคที่ท้าหน้าที่รับสัญญาณไฟฟ้า ความถี่เสียงที่ได้รับการขยายจากภาคขยายสัญญาณ (Amplifier) น้ามาเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียง อุปกรณ์ ของภาคสัญญาณออก ได้แก่ ล้าโพง
  20. 20. บทสรุป สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์ หรือ โสตทัศนูปกรณ์มีหน้าที่หลัก คือ ฉายเนื้อหาที่เป็นภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และขยายเสียงให้ดังขึ้น ได้แก่ เครื่องฉาย เครื่องอุปกรณ์แปลงสัญญาณ และเครื่องเสียงอุปกรณ์แปลงสัญญาณ และเครื่องเสียง ในฐานะที่เราก้าลังจะเป็นครูในอนาคตอันใกล้ เราควรจะศึกษาการใช้งาน เพื่อที่จะน้าไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนภายในห้องเรียนของเรา
  21. 21. THE EN

สื่อการสอน อิเล็ตทรอนิกส์

Electronic Media หรือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร?







สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic media) หมายถึง สื่อที่บันทึกสารสนเทศด้วย วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์อาจอยู่ในรูปของ สื่อบันทึกข้อมูลประเภทสารแม่ เหล็ก เช่น แผ่นจานแม่เหล็กชนิดอ่อน (floppy disk) และสื่อประเภทจานแสง (optical disk) บันทึกอักขระแบบดิจิตอลไม่สามารถอ่านได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บันทึกและอ่านข้อมูล
เมื่อพิจารณาถึง ข้อดี-ข้อเสีย ของสื่อประเภทนี้ว่า เป็นอย่างไรบ้างเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการนำมาใช้ประกอบในการเรียนการสอนและ การฝึกอบรมและจะได้นำมาเป็นแนวทางในการออกแบบและสร้างสื่อประเภทนี้ ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ข้อดี-ข้อจำกัด
ข้อดี
1. ขยายขอบเขตของการเรียนรู้ของผู้เรียนในทุกหนทุกแห่ง จากห้องเรียนปกติไปยังบ้าน และที่ทำงาน ทำให้ไม่เสียเวลาในการเดินทาง
2. ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ผู้เรียนรอบโลกในสถานศึกษาต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันได้มีโอกาสเรียนรู้พร้อมกัน
3. ผู้เรียนควบคุมการเรียนตามความต้องการ และความสามารถของตนอง
4. การสื่อสารโดยใช้ อีเมล์ กระดานข่าว การพูดคุยสด ฯลฯ ทำให้การเรียนรู้มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนช่วยเหลือกันในการเรียน
5. กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักการสื่อสารในสังคม และก่อให้เกิดการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งที่จริงแล้ว การเรียนแบบร่วมมือสามารถขยายขอบเขตจากห้องเรียนหนึ่งไปยังห้องเรียนอื่น ๆ ได้โดยการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต
6. การเรียนด้วยสื่อหลายมิติทำให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาได้ตามสะดวกโดยไม่ต้องรียงลำดับกัน
7. ข้อมูลของหลักสูตรและเนื้อหารายวิชาสามารถหาได้โดยง่าย
8. การเรียนการสอนมีให้เลือกทั้งแบบประสานเวลา คือเรียน และพบกับผู้สอนเพื่อปรึกษา หรือถามปัญหาได้ในเวลาเดียวกัน (Synchronous) และแบบต่างเวลา (Asynchronous) คือเรียนจากเนื้อหาในเว็บ และติดต่อผู้สอนทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
9. ส่งเสริมแนวคิดในเรื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากเว็บเป็นแหล่งความรู้ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการศึกษาในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง และตลอดเวลา การสอนบนเว็บตอบสนองต่อผู้เรียนที่มีความใฝ่รู้ รวมทั้งมีทักษะ ในการตรวจสอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Meta-Cognitive Skills) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10. การสอนบนเว็บเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ของ สถานการณ์จำลอง ทั้งนี้เพราะสามารถใช้ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ ภาพ 3 มิติ ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงได้
ข้อจำกัด
1. การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นยังมีน้อย เมื่อเทียบกับการออกแบบโปรแกรมเพื่อใช้ในวงการ อื่น ๆ ทำให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีจำนวน และขอบเขตจำกัดที่จะนำมาใช้เรียนในวิชาต่างๆ
2. การที่จะให้ผู้สอนเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเอง นั้น นับว่าเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา สติปัญญา และความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เป็นการเพิ่มภาระของผู้สอนให้มีมากยิ่งขึ้น
3. เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์เป็นการวางโปรแกรมบทเรียนไว้ล่วงหน้า จึงมีลำดับขั้นตอนในการสอนทุกอย่างตามที่วางไว้ ดังนั้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จึงไม่สามารถช่วยในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้
4. ผู้เรียนบางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียงตามขั้นตอน ทำให้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ได้
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน
เทคโนโลยีการศึกษาปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic) เข้ามาใช้อย่างมากมาย เครื่องมืออุปกรณ์และเทคนิควิธีการสมัยใหม่ถูกนำมาใช้ทางการศึกษาจนกลายเป็น ยุคของอีเลินนิ่ง (e-Learning) และให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้มากกว่า Learning by doing หรือ Learning how to learn ตามแนวคิดของ Instructional Technology ในอดีต
บทความนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาปะปน หมายถึงไม่เกี่ยวกับอี ในคำไทยที่เรียกคำนำหน้าผู้หญิงในอดีต ซึ่งอาจจะมองเป็นคำหยาบในปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับ ไอ้ ในคำไทยที่เรียกคำนำหน้าผู้ชายในอดีต ซึ่งมองเป็นคำสามัญในปัจจุบันที่เรียกขานผู้ชาย แต่ผู้เขียนต้องการเล่นคำและความหมายของคำสำคัญสองคำที่มีผลต่อการเปลี่ยน แปลงของเทคโนโลยีการศึกษาในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีการศึกษาในอดีต ต้องการให้ผู้อ่านเห็นวิวัฒนาการและยอมรับการเข้ามาอย่างมากมายของเทคโนโลยี การศึกษายุคอี (Electronic) ขณะที่คำอันเป็นแนวทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาในอดีตก็จะใช้กลุ่มคำ ประเภทไอ (Instruction) ที่มาจากการเริ่มต้นนับแต่ Programme Instruction ของสกินเนอร์
ยุคที่ผ่านมาของเทคโนโลยีการศึกษา
เทคโนโลยีการศึกษาของไทยแต่เดิมจะถือได้ว่าเริ่มต้นมา ตั้งแต่เอ (Audio Visual) ที่ตีความหมายเป็นภาษาไทยว่า โสตทัศนศึกษา ขณะที่ในต่างประเทศการเรียนการสอนของเทคโนโลยีการศึกษาจะเน้นไปที่ไอ (Instructional) และพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาก็ดำเนินแนวทางไปในแนวทางการพัฒนาระบบ การเรียนการสอนทั้งสิ้น โดยมีแนวคิดพื้นฐาน Programme Instruction เรียกในภาษาไทยว่า บทเรียนโปรแกรม ซึ่งกว่าได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเอาเทคนิควิธีการและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ทางการศึกษา เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดสอนสาขานี้ที่เรียกชื่อแตกต่างกันไป
Instructional System Technology : IST เรียกในภาษาไทยว่า เทคโนโลยีระบบการสอน เป็นชื่อสาขาวิชาทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ในต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยอินเดียน่า วิทยาเขตบลูมมิงตัน ที่มีอาจารย์ระดับปริญญาเอกที่มีชื่อในประเทศไทยหลายท่านจบจากที่นี่ การเรียนการสอนเน้นการออกแบบ วิจัยและพัฒนาระบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
Instructional System Design : ISD เรียกตรงตัวได้ว่า การออกแบบระบบการเรียนสอน อันเป็นแกนหลักของสาขาเทคโนโลยีการศึกษา ผู้เรียนในสาขานี้ไม่ว่าจะเรียกชื่อแตกต่างกันไปอย่างไรก็ตามจะต้องเรียนรู้ และศึกษาวิธีการในการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างกระบวนการคิดและการออกแบบพัฒนาการเรียนการสอนอย่างเป็นกระบวนการ เป็นระบบและมีขั้นตอน
Instructional Design : ID เรียกตรงตัวได้เช่นเดียวกันว่า การออกแบบการสอน เป็นความหมายเดียวกันกับ ISD เป็นวิชาหลักหรือแกนหลักของสาขาเทคโนโลยีการศึกษาเช่นกัน
Instructional Technology เทคโนโลยีการสอนเป็นชื่อที่เรียกขานสาขาและภาควิชาหลาย ๆ แห่ง เนื่องจากเทคโนโลยีการศึกษาถูกมองในลักษณะของการใช้นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อการเรียนการสอน จึงมีการใช้คำว่าเทคโนโลยีการสอนเพื่อเฉพาะเจาะจง และเป็นสาขาที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและเปิดสอนในมหาวิทยาลัยโดยทั่ว ไป
Intelligence Computer-Assisted Instruction : ICAI คอมพิวเตอร์ช่วยสอนอัจฉริยะ เป็นแนวคิดสูงสุดของนักเทคโนโลยีการศึกษาที่เชื่อว่า เมื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปจนสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ฉลาดได้เหมือน กับคนและตอบสนองต่อการเรียนรู้ได้ดังใจปรารถนา เหมือนกับมีครูผู้เชี่ยวชาญมาสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบอัจฉริยะ ซึ่งก็ยังไปไม่ถึงในปัจจุบัน
IMCAI : Interactive Multimedia Computer-Assisted Instruction เป็นอีกแนวคิดหนึ่งของนักเทคโนโลยีการศึกษา ที่เมื่อมองเห็นว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังไปไม่ถึงระดับอัจฉริยะก็มองว่า ความเป็นมัลติมีเดียของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ก็มีศักยภาพเพียงพอสำหรับช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ
Information Technology แม้จะมองว่ากลายเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ถูกจัดกลุ่มใหม่และตั้งเป็นสาขาและ ศาสตร์ของตนเอง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศก็ยังต้องจัดเป็นสิ่งที่นักเทคโนโลยีการศึกษายอมรับและ เข้ามาใช้อย่างเต็มที่ ถือเป็นหน่วยหนึ่งที่จะต้องเรียนรู้และประยุกต์เข้ามาใช้ทางการศึกษาและเป็น จุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ยุคของไอ เริ่มลดบทบาทและความสำคัญลง จนถึงถูกมองว่าเทคโนโลยีการศึกษาเข้าสู่ยุคของอีในปัจจุบัน
Internet การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งหนึ่งของเทคโนโลยี การศึกษา การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันทั้งโลก ข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลผ่านทางด่วนข้อมูล (Information Super Highway) การสื่อสารโดยตรงไม่ว่าจะเป็นด้วย IRC : Internet Relay Chat ,ICQ ทำให้เทคโนโลยีการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและการจัดการนวัตกรรมเพื่อให้ ทันกับการเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า อีเลินนิ่ง การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction) ที่นำเอาเว็บมาช่วยในการสอนกลายเป็นประเด็นใหม่ที่ต้องศึกษาค้นคว้าอย่าง จริงจัง และนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้าสู่ยุคอีในที่สุด
ยุคเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา
แนวโน้มการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการใช้เทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถทางสติปัญญาสูงขึ้นหรือเพิ่มไอ คิว (IQ) มาเป็นการส่งเสริมผู้เรียนให้มีความฉลาดทางอารมย์ (EQ) เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เทคโนโลยีที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของยุคอี อาทิ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต วีดิโอคอนเฟอเรนท์ มัลติมีเดีย ดาวเทียมเพื่อการศึกษา ฯลฯ ล้วนเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อระบบการศึกษา นำเข้ามาใช้ไม่เฉพาะการติดต่อสื่อสารแต่นำมาใช้เพื่อการเรียนรู้คือที่เรียก กันในปัจจุบันว่า อี-เลินนิ่ง
e-Learning อีเลินนิ่งหรือ Electronic Learning อาจจะดูเป็นแนวคิดทางการศึกษาแบบใหม่ ที่เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์ออนไลน์ ทำให้เกิดการเรียนการสอนระบบต่าง ๆ และมีชื่อเรียกขานแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction),การเรียนการสอนออนไลน์ (On-line Learning), การเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet-based Instruction) หรือแม้แต่จะเรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเว็บ (CAI on Web) แต่ละแบบจัดเป็นรูปแบบของการเรียนรู้ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น
ความหมายของอีเลินนิ่งมีมุมมองที่แตกต่างกันไปหลายความหมาย สมาคมอเมริกันเพื่อการพัฒนาการฝึกอบรม (ASTD, 2000) ได้อธิบายความหมายเอาไว้ด้วยกัน 3 ลักษณะคือ
ความหมายทางด้านอิเล็กทรอนิกส์
e-Learning หมายถึง กระบวนการและการใช้ประโยชน์จากการเรียนการสอนผ่านเว็บ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ห้องเรียนเสมือน และการเรียนร่วมมือด้วยเครื่องมือดิจิตอลต่าง ๆ รวมถึงการเรียนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต,ระบบอินทราเน็ต ระบบเครือข่าย การเรียนด้วยระบบเสียง ระบบภาพ ระบบดาวเทียม ระบบโทรทัศน์ และซีดีรอม
ความหมายทางด้านอินเทอร์เน็ต
e-Learning หมายถึง การเรียนรู้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือการใช้ความสามารถของระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้
ความหมายทั่วไป
e-Learning หมายถึง การบูรณาการทางการศึกษาที่ไม่ยึดติดกับเวลาและความก้าวหน้าในการเรียนรู้
เมื่อประมวลความหมายของทั้ง 3 ลักษณะเข้าด้วยกัน สอดคล้องกับแนวคิดและบริบทในปัจจุบันกล่าวได้ว่า
e-Learning หมายถึง การจัดกระบวนการและการใช้ประโยชน์จากสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ คอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ต ที่ออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ทุกที่ไม่ ยึดติดกับเวลาและความก้าวหน้าในการเรียนรู้
จึงทำให้มีความพยายามพัฒนาการเรียนการสอนแบบออนไลน์มากขึ้น ซึ่งการสร้างเว็บเพื่อการเรียนการสอนก็เป็นส่วนหนึ่งของ e-Learing เมื่ออินเทอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างกว้างขวางและเห็นความสำคัญมากขึ้น ก็ถูกนำไปใช้ในวงการต่าง ๆ ยุคของอีก็ยิ่งแพร่ขยายและมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ ถึงขนาดที่รัฐบาลประกาศเป็นนโยบายที่จะนำการบริหารในลักษณะที่เป็นรัฐบาล อิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) และนำระบบราชการไปสู่ อี-ไทยแลนด์ (e-Thailand) และเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลแต่ละประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนให้เป็น อี-อา เซียน (e-ASIAN)
ที่มา : http://home.dsd.go.th/techno/trainingsystem/index.php?option=com_content&view=article&id=21:2009-10-02-05-42-27&catid=20:2009-10-02-05-39-30&Itemid=26

สื่อการสอนประเภทวัสดุแลอุปกรณ์

                                                                      สื่อการสอนประเภทวัสดุ                 การ...